ภาษาพื้นถิ่น: คำศัพท์หรือประโยคที่เป็นเอกลักษณ์ของไทยพวน

ชาวไทยพวนมีภาษาเป็นของตนเองทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน ซึ่งใช้ตัวอักษรของไทยน้อยทั้งพยัญชนะ สระ และตัวเลข และมีอักษรธรรมที่คนโบราณใช้จานในใบลาน แต่ในปัจจุบันหาคนอ่านและเขียนยากหรือแทบไม่มีแล้ว เวลาพูดภาษาพวนเราเรียกว่า ปะพวน ปากพวน(ภาษาไทย)

          สำเนียงพวนจะลงเสียงท้ายต่ำ ส่วนมากเสียงสระไอจะเน้นสระเออ เช่น

          ใจ  =  เจอ        ใหม่  =  เหม่อ

          พวนกะเลอ       กะเลอ  =  ที่ไหน

          เฮ็ดพิเลอ          พิเลอ  =  อะไร

ตัวอย่าง ตัวอักษรไทยน้อย

พยัญชนะ                   สระ                         ตัวเลข

(*สืบค้นได้ในGoogle/เฟสบุ๊คไทยพวน)

การแต่งกายแบบดั้งเดิมของไทยพวน

ชาวไทยพวนทอผ้าใช้เองเป็นส่วนมาก ใช้ฝ้ายที่ปลูกเอง ย้อมด้วยสีธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกายทั้งของผู้ชายและผู้หญิงรวมทั้งเด็กๆด้วย ผู้ชายจะใส่กางเกงขาก๊วยเสื้อหม้อฮ่อมย้อมครามมีผ้าขะม้าคาดเอว ผู้หญิง จะนุ่งเสื้อแ่ขนกระบอกย้อมคราม นุ่งผ้าซิ่นลายมัดหมี่ย้อมครามมีสะไบเป็นผ้าขะม้า เด็กๆจะนุ่งกางเกงขาก๊วยและผ้าถุงเหมือนผู้ใหญ่ ผ้าถุงลายมัดหมี่ของผู้หญิงจะมีชายข้างล่างเรียกว่าตีนซิ่น หรือภาษาพวนเรียกว่า “ตำแนะ” เวลาอยู่บ้านทำงานบ้านหรืออยู่แบบสบายๆจะใช้ผ้าขะม้ารัดหน้าอกแทนการนุ่งเสื้อเรียกว่า “แฮ้งตู้” (ตู้ภาษาพวนแปลว่านม) เด็กผู้หญิงถ้ายังไม่เป็นสาว ก็นุ่งผ้าแฮ้งตู้กับผ้าถุง การใส่เครื่องประดับของผู้หญิงชาวไทยพวนมักจะใช้เป็นเครื่องเงินเครื่องประดับจะบ่งบอกถึงสถานะของผู้สวมใส่ด้วย ถ้าใช้เครื่องประดับเป็นเงินแท้ถือว่าเป็นชนชั้นสูงแม้แต่กระดุมเสื้อก็จะเป็นเงินแท้ เนื่องจากผ้าขะม้าใช้ประจำในชีวิตประจำวันตั้งแต่เกิดจนตาย ชาวไทยพวนบ้านผือ จึงนำผ้าขะม้าแพรอีโบ้ของไทยพวนมาเป็นเอกลักษณ์ของชุมชน จากผ้าขะม้าดั้งเดิมมีสีขาวดำ แดง พัฒนามาเป็นผ้าขะม้าอีโบ้มงคล 9 สีและผ้าถุงลายมัดหมี่เป็นลายต้นผือ

ศิลปะและหัตถกรรม: งานฝีมือ เช่น การทอผ้า เครื่องจักสาน

          เครื่องมือในการประกอบอาชีพของชาวไทยพวนส่วนมากจะเป็นเครื่องมือเกี่ยวกับการเกษตร ทำไร่ ทำนา และการเลี้ยง่ชีพ เช่น เครื่องมือในการทำนาช่วยในการเกี่ยวข้าว นวดข้าว ฝัดข้าว ตีข้าว สระข้าว เครื่องมือในการดักสัตว์ ครกตำข้าวเป็นต้น

ประเพณีและเทศกาลสำคัญ

  1.  ประชากรส่วนใหญ่ 90% นับถือศาสนาพุทธ
  2.  มีประเพณีบายศรีสู่ขวัญตามธรรมเนียมของคนอีสานทั่วไป เป็นต้นว่าการแสดงความยินดี การเกิด แก่ เจ็บ และตาย และมีเอกลักษณ์ในการทำขันหมากเบ็ง เพื่อนำไปบูชาถวายหิ้งพระในวันพระและไว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือโดยเฉพาะในงาน “หมากเบ็งอุดรบูชาวัฒนธรรมสีมาภูพระบาท” ในวันขึ้น 11 ค่ำเดือน 11 บนภูพระบาท
  3.  ในการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้วเรียกว่าทำบุญพาสาท โดยใช้ต้นกล้วยมาแกะสลักลวดลายต่างๆที่เรียกว่าแทงหยวกและนำมาตกแต่งเป็นรูปปราสาทเรียกว่า “ปราสาทผึ้ง”
  4.  ที่เพิ่มเติมจากการทำบุญตามฮีตสิบสองคลองสิบสี่ ของประเพณีคนอีสาน ได้แก่ ประเพณีบุญบั้งไฟที่มีการจุดบั้งไฟถวายปู่ตาเพิ่มอีกต่างหากซึ่งถือว่าเป็นบุญเดือน6 เดือน 3 มีประเพณีบุญกำฟ้า ที่ยังคงเหนียวแน่นและคงเอกลักษณ์ของคนพวนยังอยู่ที่ลพบุรีและสุโขทัย เดือน 5 ประเพณีสงกรานต์ปีใหม่ไทยในวันสุดท้ายของวันสงกรานต์จะมีวัดเจ้าภาพหรือวัดในแต่ละปีชาวบ้านจะไปร่วมกัน “กวนข้าวงาโค” ซึ่งเป็นอาหารหวานที่เป็นอัตลักษณ์ของคนพวน แล้วนำไปถวายพระตามวัดในเขตพื้นที่ใกล้เคียงอีกอย่างหนึ่ง คือ ผู้ใหญ่จะให้นำเสื้อผ้าที่ตัวเองชอบที่สุดรวมกันแล้วนำไปให้พระที่วัดใกล้บ้านสวดมนต์ให้อยู่สุขสบายมีความสุขตลอดปีตลอดไปชาวบ้านเรียกว่าสูท (ภาษาพวน) ภาษาทั่วไปคือนำไปเข้าพิธีสวด เดือน 6 นอกจากบุญบั้งไฟแล้วคนพวนยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือบูชา คือ ปู่ตาประจำบ้านถ้าเป็นชุมชนพวนจะมีศาลปู่ตาประจำบ้านซึ่งคนพวนถือว่าท่านเป็นผู้คุ้มครองดูแลรักษาลูกหลานให้มีความสุขความเจริญเดินทางปลอดภัยตลอดโชคดีตลอดและสามารถบนบานศาลกล่าวให้ช่วยประสบผลสำเร็จตามที่ต้องการได้ ในการเลี้ยงปู่ตาจะมีการเลี้ยงรวมกันปีละ 2 ครั้ง


    ครั้งที่ 1 เป็นการเริ่มต้นเพาะปลูกทำไร่ทำนาเรียกว่า “เลี้ยงลง” มักถือเดือน 6 สิ่งที่นำมาเลี้ยงถวายได้แก่ขนมหวาน เหล้าขาว ต้องเป็นดอกไม้สีแดงเพราะท่านชอบ ผลไม้ เพื่อเชิญท่านมาช่วยดูแลให้พืชผลอุดม-สมบูรณ์


    ครั้งที่ 2 เป็นการ “เลี้ยงขึ้น” เพื่ออัญเชิญท่านกลับศาลที่พักหลังจากที่เสร็จสิ้นการทำนาทำไร่แล้วสิ่งที่นำมาเลี้ยงถวาย ได้แก่ ข้าวเม่า หมากพลู บุหรี่ มะพร้าวซ่อม กล้วยหอม ข้าวต้ม ขนมหวาน ผลไม้


    เดือน 9 บุญข้าวประดับดินตามประเพณีอีสานหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สารทพวน” ในวันข้าวประดับดินแรม 14 ค่ำเดือน 9 ชาวไทยพวนจะนำอาหารคาวหวานรวมกันเรียกว่าพาข้าวนำไปถวายพระที่วัด หลังจากทำพิธีเสร็จแล้วจะนำพาข้าวที่พระสวดอุทิศบุญให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ไปวางไว้กลางแจ้งใต้ต้นไม้หรือธาตุที่เก็บกระดูก เพื่อให้ผู้ล่วงลับมารับส่วนบุญส่วนกุศลไป